เมื่อเดือนก่อน เป็นช่วงเร่งส่งงานให้ลูกค้า ของทีม ดูเออร์ เราจ่ายงานให้ น้องๆ ฟรีแลนซ์ รับไปทำ ตรวจคอมเม้นงาน ที่น้องฟรีแลนซ์ ส่งกลับมา และ ช่วยเก็บงานของน้องฟรีแลนซ์ กรณีที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน ดังนั้น ช่วงใกล้กำหนดส่งงานใหญ่ จึงเป็นช่วงที่ทีมจะต้องทำงานกันค่อนข้างหนักเลยทีเดียว น้องในทีมคนนึง เกิดไม่สบาย เจ็บเท้า เดินไม่ได้ ไม่สามารถขับรถมาทำงานที่ Office ได้ ผมจึงให้น้องทำงานอยู่ที่บ้าน แล้วลองใช้แม๊คบุ๊คที่ว่างอยู่ ต่อลำโพง ต่อจอ แล้วใช้โปรแกรม Skype แชร์หน้าจอ และพูดคุยกัน เสมือนน้องมานั่งทำงานที่ Office จริงๆ
ผลคือ น้องสามารถทำงานร่วมกับทีมได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาใดๆ เลย เหมือนการทำงานตามปกติ แถมยังช่วยให้บรรยากาศในการทำงาน สนุกขึ้นด้วย .. ผมเลย ฉุกคิด ขึ้นมาได้ว่า
การทำงานแบบ Remote Office คือ น้องๆ ไม่ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่ารถติด เพื่อมาทำงานให้ทันเวลา และตอนเย็น ต้องก็เดินทางกลับบ้าน ทั้งเสียเวลา เสียสุขภาพ สิ้นเปลืองพลังงาน ในแต่ละวันมากมาย เพียงแค่ เปิดคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเริ่มทำงานกับทีมได้ทันทีเลย ในส่วนของบริษัท เมื่อจำนวนพนักงานลดลง ก็ช่วยลดต้นทุนในเรื่องของ พื้นที่ใน Office ค่าไฟฟ้า พื้นที่จอดรถ ฯลฯ และต้นทุนอื่นๆ ลงไปได้มากด้วย เช่นกัน จริงๆ เราเองอาจจะทำอยู่แล้วด้วยซ้ำไป เช่น การจ้าง Outsouce ให้มาทำงานบางโปรเจค การมีพนักงานขาย ที่ไม่ต้องเข้างาน แต่ดูที่ยอดขายเป็นหลัก เป็นต้น
ถ้าจะเหมารวมว่า คนไทยทุกคน ไม่มีวินัย คงไม่ได้ ครับ เพราะผมเคยเจอน้อง หลายคน มีความกระตือรือล้น และมีความเป็นมืออาชีพ รักษาหน้าที่ รักษาคำพูดได้ดีมากๆ การทำงานใน Office ก็ไม่ได้ช่วยให้ น้องทำงานอย่างเต็มที่ อย่างที่เราต้องการ น้องอาจจะเข้างานตรงเวลา แต่ก็ใช้เวลา เม้าท์กับเพื่อนโต๊ะข้างๆ เรื่องข่าวดารา เล่นเฟสบุ๊ค แอบเล่นเกมส์ เก็บผัก เดินไปชงกาแฟ ฯลฯ ไม่ว่าน้องจะทำงานที่ Office หรือ ทำงานจากที่บ้าน สิ่งที่หัวหน้าจะต้องใช้ประเมิน คือ ผลงาน สิ่งที่ได้มอบหมายไป และสิ่งที่ได้รับกลับมา ตามเวลาที่เหมาะสม ลูกน้องที่เก่งๆ เค้าไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอย่างขยันขันแข็งตลอดเวลา คนเก่ง จะสามารถ บริหารเวลาของตัวเองได้ และทำงานที่ได้รับมอบหมาย ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยไม่จำเป็นต้องมีใครคอยควบคุม ถ้าน้องคนนั้นทำงานไม่ได้ตามที่เราต้องการ ไม่เพียงแค่ ไม่ควรให้ทำงานแบบ Remote แต่จริงๆ เราไม่ควรจ้างเค้ามาทำงาน ในบริษัทเลยด้วยซ้ำไปครับ
ไอเดียดีๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในห้องประชุม .. แต่เกิดขึ้นเมื่อเราได้พูดคุย ได้เดินทาง ได้เที่ยว หรือทำกิจกรรมอื่นๆ มากกว่า .. การประชุม ที่มีน้องที่ Remote เข้ามาร่วมประชุมด้วย จะช่วยให้ บรรยากาศในการประชุม จริงจัง ชัดเจน และเร่งรัด มากขึ้น ยิ่งในปัจจุบัน มี Software ฟรีหลายตัว ที่สามารถ ช่วยในการประชุมได้ง่าย และชัดเจนมาก รวมทั้ง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่สามารถส่งภาพและเสียง ได้อย่างรวดเร็ว การประชุมนับจากนี้ไป จึงไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนเดินทางมารวมอยู่ในห้องใหญ่ๆ อีกต่อไป ผมนึกถึง ฉากการประชุมของหน่วยชิล ในหนังเรื่อง Captain America 2 เลย มีเก้าอี้สร้างภาพโฮโลแกรม ของสมาชิกสภาสูง สามารถประชุม เสมือนอยู่ในห้องเดียวกัน การได้ประชุม กับคนที่อยู่ไกลออกไป ก็น่าสนุกทีเดียว
IBM เคยเป็นหนึ่งในองค์กรแรกๆ ที่อนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่น ให้กับพนักงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากสำนักงานของบริษัท มาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ข้อมูลในปี 2009 ระบุว่า พนักงานสัดส่วนถึง 40% ของพนักงานทั้งหมด 3.8 แสนคน เลือก ทำงานที่บ้านเป็นหลัก ช่วยให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่าสำนักงานลงได้อย่างมาก เว็บไซต์ www.flexjobs.com เป็นเว็บไซต์ที่รวมตำแหน่งงาน มากว่า 30,000 งาน ที่บริษัท ทั้งเล็กและใหญ่ ในสหรัฐฯ มากกว่า 4,000 บริษัท อนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ ล่าสุด ที่ผมเห็นข่าว คือ บริษัทเจ้าของ WordPress.com ปิดออฟฟิศ หลังพนักงานทำงานที่บ้านกันหมด
มีข้อดี ก็มีข้อเสีย เช่นกัน ข้อเสีย จากการทำงาน แบบ Remote Office คือ น้องทำงานมากเกินไป เพราะ ไม่มีการแบ่งแยก เวลาทำงาน กับเวลาส่วนตัว ออกจากกันอย่างชัดเจน บางคนเลิกงาน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดคอม เช็คข้อความ เผลอนั่งทำงานต่อจนเลยเวลา .. หรือ การอยู่คนเดียวมากเกินไป อาจจะทำให้เกิด โรคเหงา ซึมเศร้า แปลกแยก โดดเดี่ยว เพราะมนุษย์ ยังต้องการ การสื่อสารพูดคุย พบปะกันอยู่ การนัดรวมพลกันบ้าง หรือ กำหนดให้มีวันเข้า Office บ้าง ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่จำเป็นต้องสุดโต่ง
บริษัท ดูเออร์ ก่อตั้งขึ้นมา นอกจากจะเป็น แพลตฟอร์ม สำหรับรับพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยบริหารโปรเจค ให้ใช้ฟรีแลนซ์ มาทำงานร่วมกัน อย่างเป็นระบบ และมีคุณภาพสูงแล้ว .. เรายังต้องการ สร้างแพลตฟอร์ม สำหรับอาชีพต่างๆ อีกต่อไป เพื่อให้ คนทุกอาชีพ สามารถทำงานที่ตนเองรัก จากที่ไหนก็ได้ เพื่อให้ การจ้างงาน ฟรีแลนซ์ มีมาตรฐาน และไว้วางใจได้ เชื่อว่า ด้วยเทคโนโลยี ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนจะสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ในโลกนี้ ถ้ามีอินเตอร์เน็ต ในอีกไม่นาน นี้ อย่างแน่นอน
ผมได้ยินเสียงบ่น เรื่องระบบการศึกษาไทย มาเป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่ตอนเป็นวัยจ๊าบ ที่ใจร้อน ฝุดฟิต หงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะเรียนสิ่งนี้ไปทำไม .. จนถึงตอนนี้ เข้าใจแล้วว่า ที่ผ่านมา ..
ช่วงนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น มีบริษัท Start Up หลายบริษัทเข้ามาปรึกษาหลายบริษัทด้วยกัน
YDM Thailand ใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีสุดในการใช้งานเว็บไซต์แก่คุณ หากคุณดำเนินการต่อ หรือปิดข้อความนี้ลง เราถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว