การสื่อสารอย่างไรให้ตรงใจกับผู้บริโภคไม่สามารถที่จะทำการสื่อสารโดยใช้ข้อความเดียวสำหรับทุกคนได้อีกต่อไป เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกสินค้าที่เปลี่ยนไป จากตัวเลือกของสินค้าที่มีอยู่ในตลาดมากขึ้นทำให้ ผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีการเลือกสินค้าที่ใช่จริงๆสำหรับตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคแต่ละคนมีปัจจัยในการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าและความสนใจที่ไม่เหมือนกันถึงแม้ว่าสินค้านั้นๆจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกันก็ตาม

ซึ่งจากจุดนี้จึงทำให้เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับนักการตลาดหลายๆคนที่จะต้องทำการสื่อสารอย่างไรให้ตรงใจกับผู้บริโภคมากที่สุด และไม่สามารถที่จะทำการสื่อสารโดยใช้ข้อความเดียวสำหรับทุกคนได้ นักการตลาดยุคใหม่จึงต้องทำการตลาดรูปแบบใหม่ (modern marketing) รวมถึงการสื่อสารแบบใช้หลาย message สื่อสารไปแบบเฉพาะกลุ่มหรือที่เรียกกันว่า personalize message เพื่อให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้มากที่สุด ซึ่งถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นลองนึกภาพเป็นการขายขนมเพื่อสุขภาพยี่ห้อหนึ่ง ผู้บริโภคบางคนอาจจะตัดสินใจจากรสชาติเป็นหลัก และผู้บริโภคอีกคนตัดสินใจจากส่วนผสมที่ต้องมาจากธรรมชาติ หรือผู้บริโภคอีกคนตัดสินใจจากการดูว่าทานเข้าไปแล้วได้ประโยชน์อะไร

ซึ่งทีนี้ก็จะเห็นว่าแต่ละคนมีปัจจัยในการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกันอยู่ นั่นหมายถึงถ้าเราใช้ message เดียวกับทุกๆคน นั่นหมายถึงเรากำลังเสียโอกาสทางธุรกิจกับกลุ่มที่เค้ามีความสนใจได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าคนๆนั้นตัดสินใจจากอะไรในการเลือกซื้อสินค้า นั่นก็จะทำให้เราสามารถที่จะขายสินค้าให้กับคนหลายๆกลุ่มได้โดยการใช้ message ที่แตกต่างกันออกไป และสามารถที่จะสื่อสารได้ตรงใจผู้บริโภคได้ดีขึ้นด้วย

ซึ่งความท้าทายนั้นจะไม่ได้อยู่ที่ concept ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพียงอย่างเดียวว่าเราจะทำ one-to-one marketing หรือ personalize message แต่การที่จะสามารถทำการตลาดประเภทนี้ได้จะต้องมีองค์ประกอบหลายส่วนเข้าไปประกอบด้วยกัน ซึ่งองค์ประกอบหลักๆจะต้องประกอบไปด้วย

เพิ่มยอดขายแบบมีประสิทธิภาพด้วยการวางกลยุทธ์สื่อแบบ one-to-one marketing/Personalize media

1. Data tracking technology 

ส่วนนี้จะเป็นการ track behavior นั้นเพื่อเป็นการทำให้นักการตลาดรู้ว่าคนแต่ละกลุ่มว่ามีความสนใจด้านใด หรือความสนใจเรื่องอะไร ซึ่งการทำ behavior tracking นี้จริงๆแล้วสามารถที่จะทำได้ตั้งแต่พฤติกรรมของผู้บริโภคบน social media ว่าชอบ content ประเภทไหน มีความสนใจเรื่องอะไร และผนวกเข้ากับพฤติกรรมบน website ว่าอ่านเนื้อหาประเภทใดบ้าง

2. Segmentation

จะเป็น Step ถัดมาที่นักการตลาดจะต้องทำหลังจากที่ได้ behaviour data มาแล้ว นั่นคือการนำ data ที่ได้มาจัดเป็นหมวดหมู่หรือเรียกว่าการทำ Segmentation เพื่อที่จะเป็นการระบุว่าคนกลุ่มไหนมีความสนใจแบบใด เพื่อที่จะใช้ในการวางแผนการตลาด

3. Analysis & Planning

ส่วนนี้จะเป็นส่วนหลักๆอีกส่วนที่สำคัญมากอีกสำหรับนักการตลาด เพราะนักการตลาดจะต้องนำแต่ละ segment วิเคราห์และเริ่มทำการสื่อสารแบบ personalize message
ซึ่งถ้าหากวางแผนการตลาดแบบนี้แล้วนักการตลาดก็สามารถที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคได้โดนใจขึ้นกับทุกๆ target segment และจะไม่เกิดการสูญเสียโอกาสที่จะต้องทิ้ง segment ใดๆออกไป ซึ่งก็จะนำไปสู่ ROI ที่ดียิ่งขึ้น

ซึ่งตอนนี้ทางบริษัท YDM Thailand ได้นำ AI technology มาผสมผสานกับการวางแผนสื่อออนไลน์ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำ behaviour tracking ที่สามารถจะทำการ track แจะจัดเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ social media ไปจนถึง own media เพื่อที่จะนำไปสู่การการทำ segmentation และ การยิง Ad แบบ dynamic optimization ที่จะทำการ optimize media แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นด้าน media, content และ target และที่ข้อมูลที่ทุกอย่างที่ทำการจัดเก็บมานั้นสามารถนำมาประสิทธิภาพ เช่นการทำ retargeting หรือนำมาวิเคราะห์เพื่อที่จะวางแผนในอนาคต รวมถึงทีมงานที่มีประสบการณ์ ที่มีแนวคิดมุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนทางธุรกิจ (ROI base) มาให้ช่วยกับธุรกิจต่างๆวางแผนทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ใหม่ล่าสุด ! ทำความรู้จักกับ Data & AI Technology และ Digital Media Service ของ YDM Thailand มากขึ้น [คลิกที่นี่]